
ปัญหาในภาคอุตสาหกรรมเหล็กเป็นตัวสะท้อนถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งโดยปกติเป็นเครื่องมือสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจจีนจากภาวะชะลอตัว กลับหดตัวลง ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS)
ภาคโครงสร้างพื้นฐานคิดเป็นสัดส่วนราว 27% ของการบริโภคเหล็กทั้งหมดของจีน ตามประเมินของ S&P Global Commodity Insights
การลงทุนในภาคโครงสร้างพื้นฐาน ในเดือนตุลาคมลดลง 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ที่การลงทุนต่ำกว่าระดับปีก่อน และการลงทุนช่วงเดือนมกราคม–ตุลาคม ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามข้อมูลจาก NBS
ในช่วงเดือนมกราคม–ตุลาคม จีนออกพันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่น (Local Government Special Bonds) ประมาณ 3.965 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นราว 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว
พันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่นดังกล่าว ออกแบบมาเพื่อใช้สนับสนุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม รายงานของซินหัวระบุว่า พันธบัตรพิเศษในปี 2025 มีการเพิ่มสัดส่วนการนำไปใช้เพื่อสะสมที่ดิน การซื้อที่ดินรกร้างที่มีอยู่ และการซื้อโครงการที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ที่สร้างเสร็จแล้ว เพื่อจัดสรรเป็นที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา
ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงงานจีนและผู้ค้ารายหนึ่ง การใช้จ่ายจริงสำหรับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้แข็งแกร่งเท่าปีก่อน เนื่องจากส่วนหนึ่งของพันธบัตรพิเศษถูกนำไปใช้ในการปรับโครงสร้างหนี้เดิมของรัฐบาลท้องถิ่น
ภาคยานยนต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการบริโภคสินค้าคงทนของจีน ก็อ่อนแอลงในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน โดยยอดขายปลีกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในช่วงวันที่ 1–9 พ.ย. อยู่ที่ 415,000 คัน ลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนก่อน ตามข้อมูลของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีน (China Passenger Car Association :CPCA)
สมาคมระบุว่าการลดลงนี้เกิดจากฐานที่สูงจากปีก่อนและเงินอุดหนุนของรัฐบาลที่เข้มงวดขึ้นสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคในบางภูมิภาค
ผู้ค้าชาวจีนจำนวนสี่รายระบุว่า ประเทศอาจจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นด้านการคลังและการเงินที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อพยุงทั้งภาคการก่อสร้างและภาคการบริโภค
อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนใหญ่ในตลาดชี้ว่า จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมจนกว่าจะถึงต้นปี 2026 ส่งผลให้บรรยากาศตลาดยังคงซบเซา และราคาเหล็กมีแนวโน้มผันผวนอยู่ในกรอบแคบ ตามความเห็นของผู้ค้าและแหล่งข่าวจากโรงงานในจีนหลายราย
พอล บาร์โธโลมิว นักวิเคราะห์โลหะเหล็กชั้นนำจาก S&P Global Commodity Insights กล่าวว่า“ขณะนี้เราคาดการณ์ราคาเหล็กเส้น (rebar) ในไตรมาสของธันวาคมในมุมของเราไว้ที่ 3,149 หยวน/ตัน ลดลงจากเดิมที่ 3,183 หยวน/ตัน แต่เราได้ประมาณการสำหรับไตรมาสมีนาคม 2026 ไว้เช่นเดิม โดยราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน (HRC) ที่ 3,407 หยวน/ตัน และเหล็กเส้น (rebar) ที่ 3,267 หยวน/ตัน”
“เมื่อมองไปยังปี 2026 เราคาดว่าการปรับขึ้นของราคาจะเกิดขึ้นในไตรมาสของเดือนมีนาคม และจะอ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี
ทั้งนี้ การปรับขึ้นครั้งใหญ่ของราคา (ถ้ามี) น่าจะมาจากการประกาศนโยบายการดำเนินการบางอย่างเพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “anti-involution” และปัจจัยด้านความเชื่อมั่น มากกว่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานทางอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเราคาดว่าจะคล้ายกับปี 2025”